UFABETWINS

UFABETWINS “มิยามาสุ” : เด็กเนิร์ดแห่งสาธิตไคนันที่สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนมีอาวุธดีๆซ่อนอยู่

UFABETWINS หากพูดถึงเรื่อง สแลมดังก์ แล้วล่ะก็ หลายคนคงมีตัวละครในดวงใจกันแน่นอน โดยเฉพาะฝั่งพระเอกอย่าง โชโฮคุ

นั้นล้วนแต่เป็นตัวละครที่มีคาแร็คเตอร์เท่ในแบบฉบับของแต่ละคน และกลายเป็นที่จดจำของผู้อ่านตั้งแต่เด็กจนโต ขึ้นชื่อการ์ตูนนั้นเน้นความเท่เป็นเรื่องหลักอยู่แล้ว ทว่าในเรื่องสแลมดังก์ กลับมีตัวละครตัวหนึ่งที่ความเท่ติดลบ และได้ออกอากาศในฐานะตัวประกอบที่มีบทไม่กี่หน้า ทว่ากลับซ่อนแง่คิดและสัญลักษณ์

ของมนุษย์ทุกคนได้เป็นอย่างดีนี่คือเรื่องราวของ โยชิโนริ มิยามาสุ เด็กเนิร์ดที่ร่างกายปวกเปียกที่สุดในเรื่อง แต่กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเรื่อง ที่ส่งให้พระเอกอย่าง ซากุรางิ ฮานามิจิ เติบโตในแง่ของคาแร็คเตอร์ และกลายเป็นนักบาสเต็มตัว รู้จักกับอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของ

มิยามาสุ ได้ที่นี่ Slam Dunk การ์ตูนของลูกผู้ชาย สแลมดังก์ แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันจะต้องเกี่ยวกับบาสเกตบอลแน่นอน แต่มันต้องมีเหตุผลว่าทำไมการ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนบาสที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์มังงะ นี่ไม่ใช่เรื่องแค่พูดยกกันขึ้นมาลอยๆ จากสถิติของ Manga Zenkan ระบุว่าสแลมดังค์ทำยอดขายไปได้

มากกว่า 120 ล้านเล่ม มากกว่าการ์ตูนขึ้นหิ้งอย่าง โดราเอมอน, ทัชจิ หรือการ์ตูนที่ยังไม่จบทั้ง โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ และ กัปตันสึบาสะ ทั้งที่ไม่มีภาคต่อและมีแค่ 31 เล่มจบเท่านั้น ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้? เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว เพราะมันคือความ “กลมกล่อม” ในทุกๆหน้ากระดาษ ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ ผู้เขียนเรื่องนี้

ไม่ได้พยายามยัดเยียดความเป็นกีฬาบาสเกตบอลให้กับผู้อ่านอย่างเดียว แต่เขาเลือกใช้วิธีเล่าเรื่องที่มีส่วนของความเป็นมนุษย์เข้าไป ดราม่าระหว่างเพื่อนร่วมทีม, จิ๊กโก๋กลับใจ, พระเอกที่มาเล่นบาสเพราะผู้หญิง แต่สุดท้ายก็หลงรักบาสเกตบอลอย่างหัวปักหัวปำ หรือแม้แต่การปลุกวิถีหมาจนตรอกที่ใครๆ ก็บอกว่า

“ไม่มีวันเอาชนะ” ให้กลายเป็นผู้ชนะได้ ยกตัวอย่างเช่นศึกระหว่าง โชโฮคุ กับ เทคโนซังโน ที่ถือว่าเป็นไคลแม็กซ์ที่สุดของเรื่องนี้เป็นต้น เรื่องราวเหล่านี้สามารถเอาชนะใจลูกผู้ชายได้อย่างง่ายดาย มิตรภาพ, ความเป็นนักสู้ โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างเช่นเรื่องของคาแร็คเตอร์ของตัวละครแต่ละคนนั้น

ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ สแลมดังก์ เป็นการ์ตูนที่อ่านแล้ววางไม่ลงอย่างแท้จริง ซากุรางิ ฮานามิจิ เริ่มต้นจาก 0 และพยายามสุดชีวิตเมื่อรู้ว่าตัวเองรักบาสเกตบอลจากใจจริง, รุคาว่า คาเอดะ กับเป้าหมายการเป็นนักบาสเกตบอลญี่ปุ่นที่ได้ไปเล่นใน NBA, อาคางิ ทาเคโนริ ที่ต้องการทิ้งทวนชีวิต ม. ปลายปีสุดท้ายด้วย

การพาโรงเรียนไปแข่งอินเตอร์ไฮ หรือบาสเกตบอลชิงแชมป์ประเทศระดับ ม.ปลาย เป็นตัวอย่างของการขายสตอรี่ที่ทำให้เรื่องดำเนินไปข้างหน้าอย่างเร้าใจ นอกจากนี้ ยังมีฝ่ายตรงข้ามทีมพระเอกที่ไม่เหมือนเรื่องไหนๆ เรียกง่ายๆว่า แม้แต่บทตัวร้าย (หรือคู่แข่งทีมพระเอก) ของเรื่องสแลมดังก์ก็ยังเท่ จนบางครั้งคน

อ่านเผลอใจไปเชียร์เลยก็มี อาทิ เซนโด อากิระ จากเรียวนัน คู่แข่งรอบแรกๆของทีม โชโฮคุ เรียกได้ว่าเมื่อเซนโดเปิดตัวและมาพร้อมกับทักษะที่เก่งกาจ เด็กไทยสมัยนั้นถึงกับต้องทำผมตั้งแล้วเรียกว่าทรงเซนโดกันเลยทีเดียว นอกจากเซนโดแล้วยังมี ซาวาคิตะ เออิจิ จากเทคโนซังโน ที่ถือว่าเป็น “บอสใหญ่”

UFABETWINS

ของเรื่อง เพราะเก่งกาจมากจนถูกเรียกว่า เบอร์ 1 ของประเทศญี่ปุ่น เพราะโดนปลูกฝังให้รักบาสเกตบอลจากคุณพ่อมาตั้งแต่ยังทารก อย่างไรก็ตาม ความเรียลของสแลมดังก์คือ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ทุกคนย่อมมีจุดอ่อน หรือแม้กระทั่งแม้จะดูอ่อนชั้นแค่ไหน ก็ย่อมมีจุดแข็งซ่อนอยู่เช่นกัน.. นี่คือ “มนุษย์จริงๆ”

ยกตัวอย่างเช่นตัวของ ซาวาคิตะ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเก่งที่สุดในเรื่องนั้น ก็ยังมีจุดอ่อนและเสียท่าให้กับความบ้าๆบอๆของซากุรางิ เพราะเดิมทีเขาเป็นคนสมาธิสั้นมาก มักจะไขว้เขวง่ายๆ แต่ในศึกสุดท้ายของเรื่อง ซาวาคิตะที่เก่งกว่ารุคาว่า กลับโดนซากุรางิหลอกว่า พวกเขาจะเล่นโดยใช้แผนลับที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมา

ก่อน.. ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้น นั่นล่ะคือสิ่งที่สแลมดังก์เป็น และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมการ์ตูนเรื่องนี้จึงทำให้เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กผู้ชายนั้น “อิน” และฝังอยู่ในความทรงจำจนโตเป็นผู้ใหญ่ และถ้าหากว่า ซาวาคิตะ คือตัวอย่างของคนเก่งที่สุดย่อมมีจุดอ่อนแล้ว ก็ต้องพูดถึงคนที่ดูอ่อนแอที่สุดในเรื่องที่มีจุด

แข็งจนทำให้หลายคนช็อคตาตั้ง และเขาคือ 1 ในตัวประกอบที่ได้แอร์ไทม์เพียงไม่กี่ตอนเท่านั้นจากการ์ตูนทั้งหมด 31 เล่ม แต่กลับเป็นภาพสะท้อนชีวิตคนเราว่า ไม่ว่าจะโดนใครดูถูกและมองข้ามแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา หากว่าเราเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองมี และตัวประกอบยอดเยี่ยมคนนี้ชื่อว่า โยชิโนริ มิยามาสุ มิยามาสุ..

ใคร!? หากไม่ใช่แฟนการ์ตูนเรื่องสแลมดังก์หรือแม้กระทั่งคนที่อ่านผ่านๆ อาจจะงงว่าตัวละครที่ชื่อ มิยามาสุ มีด้วยหรือและเขาออกมาตอนไหน? ที่สำคัญเขาเป็นตัวแทนของความเชื่อว่า “ทุกคนมีดีอยู่ในตัวเอง” ได้อย่างไรเป็นแน่แท้ มิยามาสุ นั้นคือผู้เล่นหมายเลข 15 ของทีมสาธิตไคนัน ทีมที่ได้ฉายาว่า

“ราชาแห่งคานางาวะ” ซึ่งเป็นโรงเรียนในเขตเดียวกับโชโฮคุนั่นเอง ดังนั้น ด้วยภาพลักษณ์ของมิยามาสุที่เปิดตัวด้วยการสวมแว่นสายตา ตัวเล็กที่สุดในทีม ร่างกายไร้กล้ามเนื้อ แถมยังมีท่าวอร์มอัพประหลาดๆ จึงไม่แปลกที่ใครๆ จะสงสัยว่า “เขาเป็นส่วนหนึ่งของสาธิตไคนันได้อย่างไร?” หากคุณยังไม่เห็นภาพว่า

มิยามาสุนั้นตัวเล็กขนาดไหน เว็บไซต์ Fandom ของสแลมดังค์ ได้ลงข้อมูลของเขาว่ามีความสูง 160 เซนติเมตร หนัก 42 กิโลกรัม ส่วนเรื่องนิสัยของมิยามาสุนั้นก็เรียกได้ว่าเป็น “เนิร์ด” โดยแท้จริง เขาเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจ แถมยังคิดช้าทำช้า ด้วยลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีอะไรที่

น่าจะทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่เก่งได้เลยแม้แต่น้อย สำหรับการเป็นผู้เล่นในตำแหน่งการ์ด ซึ่งหน้าที่หลักคือต้องทำแต้ม อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าตัวละครนี้ คือตัวละครที่สร้างขึ้นมาโดยใช้ภาพลักษณ์ของเด็กใส่แว่นในช่วงชีวิตมัธยม ที่มักจะไม่ได้เป็นหัวโจกและแทบจะไม่มีตัวตนในโรงเรียน น้อยคนนักจะจำชื่อของเขาได้และ

เรียกว่า “แว่น” แทนการขานเรียกชื่อจริง ซึ่งในโลกแห่งความจริงนั้นก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นให้เห็นอยู่ และหลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์เรียกคนใส่แว่นว่า “แว่น” อย่างแน่นอน เอาเถอะ อย่างไรเสียอาจารย์อิโนอุเอะ ไม่ได้สร้างตัวละครมิยามาสุมาให้เป็นตัวตลกหรือเนิร์ดสติเฟื่องในสายตาใคร เพราะได้สอดแทรก

บางสิ่งเอาไว้มากมายเพื่อจะบอกว่า จงอย่าตัดสินใครด้วยภาพลักษณ์ภายนอกเด็ดขาด และการจะเปลี่ยนความคิดนั้นได้ จำเป็นจะต้องให้มิยามาสุเจอกับตัวละครระดับขวัญใจมหาชนอย่าง ซากุรางิ พระเอกของเรื่องเท่านั้น.. ซากุรางิ สูง 189 เซนติเมตร พร้อมด้วยสกิลพระเอกติดตัว บวกเพิ่มกับพลังพ่อยกแม่ยกอีก

เพียบ! แต่สุดท้ายพระเอกของเรากลับต้องเจอกับกระดูกชิ้นโตที่ตัวของเขาและคนอ่านแทบทุกคนไม่คิดว่าจะได้เจอ.. เพราะฉายาของมิยามาสุที่เพื่อนๆในทีมหรือแม้กระทั่งโค้ชของเขาเรียกก็คือ “อาวุธลับของไคนัน” นั่นเอง อาวุธลับของไคนัน มิยามาสุ ถูกส่งลงมาในช่วงควอเตอร์แรก ทันทีที่ได้แอร์ไทม์ เขาถอดแว่น

สายตาแบบมีขาออก และใส่แว่นที่มีสายรัด จนซากุรางิ มองและพึมพำว่าเหมือนกับเป็น “มนุษย์ต่างดาว” เท่านั้นยังไม่พอ อาจารย์อิโนอุเอะขยี้ตัวละครนี้ให้ดูอ่อนแอเข้าไปอีกด้วยท่าการวอร์มอัพที่เก้ๆ กังๆ เหมือนกับคนที่เล่นบาสเกตบอลไม่เป็น ทันทีที่มิยามาสุลงสนาม เขาเป็นคนถือบอลให้กับไคนันทันที แต่ด้วย

ความที่เป็นคนไม่มีความมั่นใจ ทำอะไรเงอะๆเงิ่นๆ เขาถูก มิยางิ เรียวตะ ตัดบอลไปได้อย่างง่ายดาย ทว่าสุดท้าย มากิ ชินอิจิ กัปตันทีมที่ถือว่าเป็นเอซของทีม ช่วยมาสกัดบอลไว้ได้ก่อนที่โชโฮคุจะทำแต้ม เมื่อรู้ว่าตัวเองทำพลาด มิยามาสุก็สติกระเจิงทันที เขาไล่ขอโทษเพื่อนร่วมทีมที่ส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้องด้วยการก้ม

หัว ซึ่งจริงๆแล้วบทบาทรุ่นพี่-รุ่นน้องของชมรมกีฬาของญี่ปุ่นนั้นถือว่าแข็งเอาเรื่อง ถือรุ่นกันอย่างจริงจัง นั่นแสดงให้เห็นว่า มิยามาสุคือคนที่อ่อนแอ (แม้อาจจะมองว่าอ่อนน้อมก็พอได้เช่นกัน) ขนาดไหน อย่างไรก็ตาม บางครั้งในช่วงเวลาที่ไม่มีสมาธิและหมดความหวัง เราก็ต้องการใครสักคนที่ฉุดมือขึ้นมา และทำให้

เรารู้ว่าเราไม่ได้สู้อยู่คนเดียว สติและความมั่นใจของมิยามาสุกลับอีกครั้งเมื่อ มากิ ผู้เล่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเขตคานางาวะ เข้ามาคุยกับมิยามาสุในฐานะเพื่อนว่า “มั่นใจหน่อย แสดงฝีมือให้เต็มที่” เมื่อนั้น มิยามาสุขยับแว่นพร้อมแสงประกายที่ขอบแว่นเป็นสัญญาณว่า “พลังที่แท้จริงของอาวุธลับแห่งไคนันกำลัง

จะมาถึงในอีกไม่ช้า” หลังจากนั้นเป็นการดวลกันแบบตัวต่อตัว ซึ่งมิยามาสุถูกจับคู่ให้ดวลกับซากุรางิ.. ในทีแรก ซากุรางินั้นถึงกับลูบปาก เพราะอีกฝั่งให้คนตัวเล็กและอ่อนแอกว่ามาประกบเขาแบบนี้ จึงทำให้ซากุรางิพยายามจะเอาชนะมิยามาสุ ด้วยการพยายามทำแต้มเอง ซึ่งแน่นอนว่า มิยามาสุไม่มีทีท่าแม้แต่จะ

กระโดดป้องกันเลยแม้แต่น้อย.. แน่นอน เรื่องแรงเขาสู้ซากุรางิไม่ได้ การจะให้กระโดดแข่งกันเป็นอะไรที่เปลืองแรงเปล่า และมิยามาสุแก้ปัญหาด้วยการคิดวิเคราะห์ เขาปล่อยให้ซากุรางิเล่นเพราะรู้ว่าซากุรางิ ณ เวลานั้นยังเป็นผู้เล่นที่มีทักษะบาสต่ำมาก การชู้ตใต้แป้นก็ไร้ประสิทธิภาพ เรียกได้ว่าต่อให้ปล่อยขึ้นไป

UFABETWINS

ชู้ตใต้แป้น ซากุรางิก็ไม่สามารถทำแต้มได้อยู่ดี.. ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้น ซากุรางิชู้ตไม่ลงจริงๆ หนำซ้ำเมื่อไคนันรีบาวด์จากลูกที่ซากุรางิทำเสียได้ ผู้เล่นทุกคนในทีมก็ทำตามแผนที่โค้ชวางไว้ คือการให้เหล่าผู้เล่นระดับหัวแถวของทีมเป็นตัวหลอก โดยวางให้มิยามาสุทำหน้าที่เป็นตัวทำแต้ม ซึ่งไม่มีผู้เล่นโชโฮคุคนไหน

คิดทัน ด้วยความสูง 160 เซนติเมตร แถมร่างก็ผอมบาง มิยามาสุเลือกวิธีทำแต้มที่เหมาะกับตัวเองอย่างที่สุด เขาไม่เข้าไปปะทะกับใครและปล่อยให้มากิกับผองเพื่อนทำหน้าที่สกรีนให้ ขณะที่ตัวของเขาสแตนด์บายอยู่วงนอก รับบอล และชู้ต 3 แต้ม ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาซ้อมการชู้ต 3 แต้มที่เป็นอาวุธเดียว

ของเขามามากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ เมื่อมิยามาสุต้องดวลกับโชโฮคุ ที่มีซากุรางิอยู่ในสนาม เขาชู้ต 3 แต้มลงทุกลูก และทำแต้มให้สาธิตไคนันทิ้งห่างโชโฮคุไปไกล จนต้องมีการปรับแก้เกมด้วยการเปลี่ยนซากุรางิที่ยิ่งเล่นยิ่งหงุดหงิดเพราะต้องแพ้ให้กับมิยามาสุออก และเปลี่ยนเอา โคงุเระ คิมิโนบุ รองกัปตันทีม

(ซากุรางิ ตั้งฉายาว่า “แว่นคุง”) ลงมาเล่นแทน จึงแก้ลำได้ และทำให้สุดท้ายแล้วเมื่อโดนจับทางมิยามาสุ ก็กลับไปนั่งที่ม้านั่งสำรองตามเดิม พร้อมกับแต้มเป็นกอบเป็นกำที่เขาทำได้.. แม้โชโฮคุจะแก้เกมได้ แต่มิยามาสุทำให้เกมเปลี่ยนไปแล้ว แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่มิยามาสุลงมาในสนาม แต่ก็เป็นช่วงเวลา

ทองของไคนัน ที่ทำให้โมเมนตั้มของเกมนั้นเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง การเอาชนะสงครามประสาทและการทำหน้าที่อาวุธลับยิง 3 แต้มที่แม่นยำ กลายเป็นกุญแจดอกสำคัญที่สุดท้ายแล้วแม้เกมจะยื้อกันไปพลิกกันมา ไคนันก็เอาชนะโชโฮคุด้วยระยะห่างเพียงแค่ 2 แต้มเท่านั้น.. ชัยชนะในเกมนี้เป็นของมิยามาสุและไคนัน

อย่างแท้จริง นอกจากนี้มันยังเป็นชัยชนะที่เปลี่ยนแปลงให้เรื่องสแลมดังก์เข้มข้นเข้าไปอีกต่างหาก เพราะหลังจากการแพ้ไคนัน.. ซากุรางิก็เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ด้วยการโกนหัว และทุ่มเทกับการฝึกมากขึ้น เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทีมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ดังนั้นเรียกได้ว่า มิยามาสุ คือตัวประกอบที่ช่วย

ปูเส้นทางและชงให้ ซากุรางิ ฮานามิจิ เติบโตในฐานะนักบาสเกตบอลอีกขั้นอย่างแท้จริง หากไม่มีมากิคอยช่วยสกรีนในการเล่นและให้กำลังใจในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง มิยามาสุคงสมาธิแตกกระเจิงจนกลายเป็นจุดอ่อนของทีมไปแล้ว เช่นเดียวกันคือการได้ซากุรางิ คนที่อ่อนเบสิคที่สุดในโชโฮคุมาเป็นคู่ประกบ จึงกลาย

เป็นการดวลระหว่างงูเหลือมกับเชือกกล้วย และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ มิยามาสุลงสนามมาในเวลาที่ใครต่างก็มองข้ามเขา และนั่นกลายเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาได้ลบคำสบประสาททั้งหมดด้วยทักษะ 3 แต้มซ่อนไว้ดั่งอาวุธลับนั่นเอง ไม่ว่าภาพลักษณ์ของมิยามาสุจะดูอ่อนแอปวกเปียกแค่ไหน แม้สุดท้ายแฟนสแล

มดังก์บางคนอาจจะจำเขาไม่ได้ แต่สุดท้ายตัวละครของเขาก็แสดงให้เห็นว่าคนเราทุกคนต่างก็มีดีอยู่ในตัว เพียงแต่ต้องรอเวลาที่ใช่ รอเจอกับ “มิตร” ที่พร้อมสนับสนุนกันอย่างแท้จริง เพราะสุดท้ายแล้วองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยขับสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวของเราออกมาทั้งสิ้น “ไม่มีชีวิตใครที่ไร้ค่า เพียงแค่เรายังไม่ได้

เวลาเฉิดฉาย” สิ่งที่เราทำได้คือเลิกดูถูกตัวเองเสีย และหาจุดแข็ง หาข้อดีของตัวเองให้เจอ จากนั้นพัฒนามันให้เต็มที่เพื่อแสดงจุดแข็งเหล่านั้นออกมาให้คนอื่นได้เห็นว่าแท้จริงแล้วตัวเรานั้นเป็นเช่นไร

 

เพิ่มเติม  >>>  https://www.ufabetwins.com/

คลิกเลย  >>>  https://www.mangorent.com/